วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

“เห็นได้ยาก หยั่งรู้ตามได้ยาก”

เห็นได้ยาก หยั่งรู้ตามได้ยาก

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรงมีพุทธดำริว่า ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ตรรกหยั่งไม่ถึง (ไม่อยู่ในวิสัยของตรรก) ละเอียดอ่อนเป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ[1] และมีข้อความเป็นคาถาต่อไปว่า ธรรมเราเข้าถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ, ธรรมนี้มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำจะรู้เข้าใจง่าย, สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืด (อวิชชา) ห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก[2] คำว่านิพพานเป็นสิ่งที่ปุถุชนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ จึงควรมุ่งให้เป็นคำเตือนเสียมากกว่า คือ เตือนว่าไม่ควรเอาแต่คิดสร้างภาพและถกเถียงชักเหตุผลมาแสดงกันอยู่ จะเป็นเหตุให้สร้างสัญญาผิด ๆ ขึ้นเสียเปล่า ทางที่ดีหรือทางที่ถูก ควรจะลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเพื่อรู้เห็นประจักษ์ชัดกับตนเอง เพราะถึงแม้ว่านิพพานนั้นเมื่อยังไม่รู้ไม่เห็น ก็นึกไม่เห็นคิดไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้เห็นได้เข้าถึงได้ เพียงแต่ว่ายากเท่านั้น เมื่อตกลงกันได้เช่นนี้แล้ว ก็อาจเปลี่ยนข้อความจากที่นิยมพูดกันว่า นึกไม่เห็นคิดไม่เข้าใจ (หรือที่บางท่านถึงกับว่า พูดไม่ได้ บรรยายไม่ได้) มาใช้ตามพุทธพจน์นี้ว่า เห็นได้ยาก หยั่งรู้ตามได้ยาก

ในเมื่อนิพพานเป็นสิ่งเห็นได้ยาก หยั่งรู้ตามได้ยาก เมื่อยังไม่เห็น ก็นึกไม่เห็น เมื่อยังไม่เข้าถึง ก็คิดไม่เข้าใจ ถ้อยคำที่จะใช้บอกตรง ๆ และสัญญาที่จะใช้กำหนดก็ไม่มี ดังได้กล่าวมาฉะนี้ จึงน่าสังเกตว่า ในการกล่าวถึงนิพพาน ท่านจะพูดอย่างไร หรือใช้ถ้อยคำอย่างไร ตามที่ได้ประมวลดูพอจะสรุปวิธีพูดถึงหรืออธิบายนิพพานได้ 4 อย่างคือ

1. แบบปฏิเสธ คือให้ความหมายอันแสดงถึงการละการกำจัดการเพิกถอนภาวะไม่ดี ไม่งาม ไม่เกื้อกูล ไม่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในวิสัยของฝ่ายวัฎฎะ เช่น นิพพานคือความสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ[3] นิพพานคือความดับแห่งภพ[4] นิพพานคือความสิ้นตัณหา จุดจบของทุกข์[5] ดังนี้เป็นต้น หรือใช้คำเรียกอันแสดงภาวะที่ตรงข้ามกับภาวะฝ่ายวัฎฎะโดยตรงเช่น เป็นอสังขตะ[6] (ไม่ถูกปรุงแต่ง) อชระ (ไม่แก่) อมตะ (ไม่ตาย) เป็นต้น

2. แบบไวพจน์ร หรือเรียกตามคุณภาพ คือ นำเอาคำพูดบางคำที่ใช้พูดเข้าใจกันอยู่แล้ว อันมีความหมายเกี่ยวกับภาวะที่สมบูรณ์หรือดีงามสูงสุด มาใช้เป็นคำเรียกนิพพาน เพื่อแสดงถึงคุณลักษณะของนิพพานนั้น ในบางแง่บางด้าน เช่น สันตะ (สงบ) ปณีตะ (ประณีต) สุทธิ (ความบริสุทธิ์) เขมะ (ความเกษม) เป็นต้น

3. แบบอุปมา ถ้อยคำอุปมามักใช้บรรยายภาวะและลักษณะของผู้บรรลุนิพพาน มากกว่าจะใช้บรรยายภาวะของนิพพานโดยตรง เช่น เปรียบพระอรหันต์เหมือนโคนำฝูงที่ว่ายตัดกระแสน้ำข้ามถึงฝั่งแล้ว[7] เหมือนคนข้ามมหาสมุทร หรือห้วงน้ำใหญ่ที่มีอันตรายมากถึงฟากขึ้นยืนบนฝั่งแล้ว[8] จะว่าไปเกิดที่ไหน หรือจะว่าไม่เกิดเป็นต้นก็ไม่ถูกทั้งสิ้น เหมือนไฟดับไปเมื่อสิ้นเชิง[9] อย่างไรก็ตาม คำเปรียบเทียบภาวะของนิพพานโดยตรงก็มีอยู่บ้าง เช่นว่า นิพพานเป็นเหมือนภูมิภาคอันราบเรียบน่ารื่นรมย์[10] เหมือนฝั่งโน้นที่เกษมไม่มีภัย[11] และเหมือนข่าวสาสน์ที่เป็นจริง[12] เป็นต้น ที่ใช้เป็นคำเรียกเชิงเปรียบเทียบอยู่ในตัวก็หลายคำ เช่น อาโรคยะ (ความไม่มีโรค, สุขภาพสมบูรณ์) ทีปะ (เกาะ, ที่พ้นภัย) เลณะ (ถ้ำ, ที่กำบังภัย) เป็นต้น ในสมัยคัมภีร์รุ่นต่อ ๆ มาที่เป็นสาวกภาษิตถึงกับเรียกเปรียบเทียบนิพพานเป็นเมืองไปก็มี ดังคำว่า อุดมบุรี[13] และ นิพพานนคร[14] ซึ่งได้กลายมาเป็นคำเทศนาโวหารและวรรณคดีโวหารในภาษาไทยว่า อมตมหานครนฤพาน บ้าง เมืองแก้วกล่าวแล้วคือพระนิพพาน บ้าง แต่คำหลังนี้ไม่จัดเข้าในบรรดาถ้อยคำที่ยอมรับว่าใช้แสดงภาวะของนิพพานได้

4. แบบบรรยายภาวะโดยตรง แบบนี้มีน้อยแห่ง แต่เป็นที่สนใจของนักศึกษา นักค้นคว้ามาก โดยเฉพาะผู้ถือพุทธธรรมอย่างเป็นปรัชญา และมีการตีความกันไปต่าง ๆ ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันได้มาก จะได้คัดมาให้ดูต่อไป

ทั้ง 4 แบบนี้ ถ้าเป็นคำเรียก หรือคำแสดงคุณลักษณะ บางทีท่านก็ใช้เสริมกัน มาด้วยกัน ในข้อความเดียวกัน หรือมาเป็นกลุ่ม ในที่นี้จะเอามาแสดงรวม ๆ กันไว้เท่าที่เห็นสมควร พอให้ผู้ศึกษาเห็นแนว และขอให้แยกแบบเอาเอง (แสดงตามลำดับอักษรบาลี)[15]

อกัณหอสุกกะ

อกตะ

อกิญจนะ

อกุโตภัย

อัจจุตะ

อัจฉริยะ

อชระ, อชัชชระ

อชาตะ

อนตะ

อนันต์

อนาทาน

อนาประ

อนาลัย

อนาสวะ

อนิทัสสนะ

อนีติกะ

อนุตตระ

อปโลกิตะ (-นะ)

อภยะ

อมตะ

อโมสธรรม

ไม่คำไม่ขาว (ไม่จำกัดชั้นวรรณะ, ไม่เป็นบุญเป็นบาป

ไม่มีใครสร้าง

ไม่มีอะไรค้างใจ, ไร้กังวล

ไม่มีภัยแต่ที่ไหน

ไม่เคลื่อน, ไม่ต้องจากไป

อัศจรรย์

ไม่แก่, ไม่คร่ำคร่า

ไม่เกิด

ไม่โอนเอนไป, ไม่มีตัณหา

ไม่มีที่สุด

ไม่มีการถือมั่น

ไม่มีอื่นอีก, ประเสริฐ, ดีที่สุด

ไม่มีอาลัย, ไม่มีความติด

ไม่มีอาสวะ

ไม่เห็นด้วยตา

ไม่มีสิ่งเป็นอันตราย

ไม่มีอะไรยิ่งกว่า, ยอดเยี่ยม

ไม่ผุพัง, ไม่เสื่อมสลาย

ไม่มีภัย

ไม่ตาย

ไม่มีเสื่อมสูญ

อัพภูตะ

อัพยาธิ

อัพยาปัชฌะ

อภูตะ

อสังกิลิฎฐะ

อสังกุปปะ

อสังขตะ

อสังหิระ

อโสกะ

อาโรคยะ

อิสสริยะ

เขมะ

ตัณหักขยะ

ตาณะ

ทีปะ

ทุกขักขยะ

ทุททสะ

ธุวะ

นิปุณะ

นิปปัญญจะ

นิพพาน

ไม่เคยมีไม่เคยเป็น, น่าอัศจรรย์

ไม่มีโรคเบียดเบียน

ไม่มีความเบียดเบียน

ไม่กลายไป

ไม่เศร้าหมอง

ไม่หวั่นไหว, ไม่โยกคลอน

ไม่ถูกปรุงแต่ง

ไม่คอนแคลน

ไม่มีความโศก

ไม่มีโรค, สุขภาพสมบูรณ์

อิสรภาพ, ความเป็นใหญ่ในตัว

เกษม, ปลอดภัย

ภาวะสิ้นตัณหา

เครื่องต้นทาน, ที่คุ้มกัน

เกาะ, ที่พึ่ง

ภาวะสิ้นทุกข์

เห็นได้ยาก

ยั่งยืน

ละเอียดอ่อน

ไม่มีกิเลสเครื่องเนิ่นช้า, ไม่มีปัญจะ

ความดับกิเลสและกองทุกข์

นิพพุคิ

นิโรธ

บรมสัจจ์

ปณีตะ

ปรมัตถ

ปรมสุข

ปรายนะ

ปัสสัทธิ

ปาระ

มุตติ

โมกขะ

โยคักเขมะ

เลณะ

ความดับเข็ญเย็นใจ

ความดับทุกข์

ความจริงอย่างยิ่ง, สัจจะสูงสุด

ประณีต

ประโยชน์สูงสุด

บรมสุข, สุขอย่างยิ่ง

ที่ไปข้างหน้า, ที่หมาย

ความสงบระงับ, สงบเยือกเย็น

ฝั่ง, ที่หมายอันปลอดภัย

ความพ้น, หลุดรอด

ความพ้นไปได้

ธรรมอันเกษมจากโยคะ

ที่เร้น, ที่กำบังภัย

วิมุตติ

วิโมกข์

วิรชะ

วิราคะ

วิสุทธิ

สัจจะ

สันตะ

สันติ

สรณะ

สิวะ

สุทธิ

สุทุททสะ

ความหลุดพ้น, เป็นอิสระ

ความหลุดพ้น

ไม่มีธุลี

ความจางคลายหายติด

ความบริสุทธิ์, หมดจด

ความจริง

สงบ, ระงับ

ความสงบ

ที่พึ่ง, ที่ระลึก

แสนเกษมสำราญ

ความบริสุทธ์, สะอาด

เห็นได้ยากยิ่งนัก.

นิพพุคิ

นิโรธ

บรมสัจจ์

ปณีตะ

ปรมัตถ

ปรมสุข

ปรายนะ

ปัสสัทธิ

ปาระ

มุตติ

โมกขะ

โยคักเขมะ

เลณะ

ความดับเข็ญเย็นใจ

ความดับทุกข์

ความจริงอย่างยิ่ง, สัจจะสูงสุด

ประณีต

ประโยชน์สูงสุด

บรมสุข, สุขอย่างยิ่ง

ที่ไปข้างหน้า, ที่หมาย

ความสงบระงับ, สงบเยือกเย็น

ฝั่ง, ที่หมายอันปลอดภัย

ความพ้น, หลุดรอด

ความพ้นไปได้

ธรรมอันเกษมจากโยคะ

ที่เร้น, ที่กำบังภัย

วิมุตติ

วิโมกข์

วิรชะ

วิราคะ

วิสุทธิ

สัจจะ

สันตะ

สันติ

สรณะ

สิวะ

สุทธิ

สุทุททสะ

ความหลุดพ้น, เป็นอิสระ

ความหลุดพ้น

ไม่มีธุลี

ความจางคลายหายติด

ความบริสุทธิ์, หมดจด

ความจริง

สงบ, ระงับ

ความสงบ

ที่พึ่ง, ที่ระลึก

แสนเกษมสำราญ

ความบริสุทธ์, สะอาด

เห็นได้ยากยิ่งนัก.

ในคัมภีร์ชั้นอรรถาธิบายและคัมภีร์ที่เป็นสาวกภาษิต (เช่น นิทเทส, ปฏิสัมภิทามัคค์, เถรคาถา, เถรีคาถา, อปทาน) ตลอดมาจนถึงคัมภีร์รุ่นหลัง ๆ เช่น อภิธานัปปทีปิกา ยังกล่าวถึงหรือจัดคำเข้ามาแสดงความหมายของนิพพานอีกเป็นอันมาก เช่น

อักขระ

อขลิตะ

อจละ

อนารัมมณะ

อนุปปาทะ

อปวัคค

อมรณะ

อรูปะ

อสปัตตะ

อสัมพาธะ

ไม่รู้จักสิ้น, ไม่พินาศ

ไม่พลั้งพลาด

ไม่หวั่นไหว

ไม่ต้องอาศัยสิ่งยึดหน่วง

ความไม่เกิด

ปราศจากสังขาร, พ้นสิ้นเชิง

ไม่ตาย

ไร้รูป, ไม่มีทรวดทรงสัณฐาน

ไม่มีข้าศึก

ไม่คับแคบ, ไม่ข้องขัด

เกวละ[16]

นิจจะ

นิรุปตาปะ

ปฏิปัสสัทธิ

ปทะ

ประ

ปริโยสาน

ปหานะ

วูปสมะ

วิวัฎฎ์

ไม่กลั้วระคน, สมบูรณ์ในตัว,ไกวัลย์

เที่ยง, แน่นอน

ไม่มีความเดือดร้อน

ความสงบรำงับ, เยือกเย็น

ที่พึงถึง, จุดหมาย

ภาวะตรงข้าม, ภาวะยอดยิ่ง

จุดสุดท้าย, จุดหมาย

การละกิเลส

ความเข้าไปสงบ

ภาวะพ้นวัฎฎะ, ปราศจากวัฎฎะ



[1] วินย.4/7/8; ม.มู.12/312/323

[2] สํ.ส.ฬ.18/497/310; 513/321

[3] สํ.นิ.16/271/142

[4] สํ.ข.17/367/233

[5] เป็นคำแสดงความหมายโดยนัย ไม่ใช่เป็นคำจำกัดความโดยตรง เช่น สํ.สฬ.18/85/53; ขุ.อ.25/158/207; ขุ.อิติ.25/231/266 เป็นต้น

[6] คำเดี่ยวทั้งหมดตั้งแต่นี้ไป ดูที่มาแห่งเดียวกันข้างหน้า

[7] ม.มู.12/391/420

[8] สํ.สฬ.18/285/196; 314/218

[9] ม.ม.13/250/246; สํ.สฬ.18/800/485

[10] สํ.ข.17/197/132

[11] สํ.สฬ.18/316/219

[12] สํ.สฬ.18/342/242

[13] ขุ.อป.33/157/282 (ปุรมุตฺตมํ)

[14] มิลินฺท.349

[15] จากที่มาหลายแห่ง ที่สำคัญคือ สํ.สฬ.18/974-751/441-454; ม.มู.12/326/332; องฺ.จตุกฺก.21/255/334 : ขุ.อุ.25/160/208; สํ.สฬ.18/370/260.

[16] เกวะ (สันสกฤตเป็น ไกวัลย์) เป็นคำแสดงจุดหมายสูงสุดที่ใช้ในศาสนาเช่น (ไชนะของนิครนถ์), ส่วนทางฝ่ายพุทธศาสนา ในชั้นบาลียังไม่พบใช้คำนี้หมายถึงนิพพานโดยตรง เป็นแต่เรียกผู้บรรลุนิพพานว่า เกวลี บ้าง เกพลี บ้างหลายแห่ง เช่น สํ.ส.15/656/245; องฺ.ติก.20/498/207; ม.ม.13/597/544; องฺ.ทสก.24/12/18; ขุ.สุ.25/362/422 เป็นต้น